วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

FERRARI 458 Italia

เฟอร์รารี่ส่งสปอร์ตตัวใหม่ในรุ่น 458 Italia ออกมาแทนรุ่น F430 จากฝีมือการดีไซน์ของพินินฟารีนา ซึ่งเป็นสำนักออกแบบชื่อดังในอิตาลี โดยสปอร์ตตัวใหม่จะไปอวดโฉมในงานแฟรงค์เฟิร์ตออโต้โชว์ประเทศเยอรมนีในปีนี้
สำหรับชื่อรุ่นของโมเดลใหม่จะมาจากความจุของกระบอกสูบและจำนวนสูบ ดีไซน์ตัวรถให้ความรู้สึกเร้าใจและน่าหลงใหลในทุกมุมมองพร้อมกับได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากฟอร์มูล่าวันและมีเป้าหมายในการลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์รวมทั้งลดอัตราการสิ้นเปลืองให้ต่ำกว่าในรุ่น F430 ในขณะที่ได้เพิ่มขนาดและกำลังของเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตามประสบการณ์ของเฟอร์รารี่ในสนามแข่งได้ถูกนำมาให้รู้สึกได้ในรุ่นนี้ ซึ่งไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยตรงมาเท่านั้น แต่ได้รวมถึงอารมณ์ที่จะได้รับเมื่อได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยซึ่งจะต้องสัมพันธ์กันระหว่างคนขับและรถ ใน 458 Italia จะมากับนวัตกรรมใหม่ของพวงมาลัยและแดชบอร์ดซึ่งเป็นผลงานที่โดยตรงจากสนามแข่ง

ฝีมือการออกแบบของพินินฟารีนามีความสมบูรณ์ลงตัว ทำให้ตัวรถมีขนาดไม่ใหญ่เกินไป รูปทรงเป็นไปตามหลักแอโร่ไดนามิกส์ ตอกย้ำแนวความคิดที่ต้องการให้เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูงและสำหรับรถเฟอร์รารี่ทุกรุ่นจะมีสไตล์ที่ได้ถูกวางแนวทางไว้อย่างชัดเจนสำหรับประสิทธิภาพในด้านของแอโร่ไดนามิกส์ ซึ่งรวมถึงในโมเดลใหม่นี้ด้วยเช่นกันโดยสามารถสร้างแรงกดได้ถึง 140 กก.ที่ความเร็ว 200 กม./ชม. ทางด้านหน้าจะเห็นช่องดักอากาศขนาดใหญ่สองข้างให้อากาศผ่านเข้าไประบายความร้อนหม้อน้ำและใต้พื้นรถจะถูกปิดให้ราบเรียบเพื่อลดการหมุนวนของอากาศ

เครื่องยนต์ใหม่แบบ V8 สูบ ขนาด 4,499 ซีซี. เป็นครั้งแรกที่เฟอร์รารี่ใช้การจ่ายเชื้อเพลิงแบบไดเร็กอินเจ็กชั่น ติดตั้งในตำแหน่งกลาง-ท้ายของตัวรถ ใช้ลูกสูบแบบเดียวกับตัวแข่งให้อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 12.5:1 เพลาข้อเหวี่ยงถูกออกแบบพิเศษ เครื่องยนต์ใหม่ให้กำลังได้ 570 CV ที่ 9,000 รอบต่อนาที ทำให้ได้อัตราส่วนของกำลังที่ดีเยี่ยม 120 CV/ลิตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานใหม่และไม่ใช่เฉพาะกับเฟอร์รารี่อย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังรวมถึงรถอื่นๆในตลาดกลุ่มเดียวกันอีกด้วยและแรงบิด 540 Nm ที่ 6,000 รอบต่อนาที โดยแรงบิดกว่า 80% จะออกมาในรอบตั้งแต่ 3,250 รอบต่อนาที การส่งกำลังใช้เกียร์ dual-cluth 7 สปีด ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ด้วยเวลาแถวๆ 3.3 วินาทีกับท็อปสปีด 325 กม./ชม.

เกียร์ dual-cluth 7 สปีด ช่วยเพิ่มสมรรถนะในขณะที่จะให้การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลแม้กระทั่งในช่วงกดคันเร่งจนสุด ทางทีมวิศวกรของเฟอร์รารี่ได้พัฒนาอัตราทดของเกียร์ให้เข้ากันกับกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ใหม่ ทำให้ได้แรงบิดออกมาสูงในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำและให้ความเร็วที่สูงในท็อปเกียร์ ในส่วนของค่าไอเสียจะมีค่า CO2 ออกมา 320 กรัม/กม.และมีอัตราสิ้นเปลือง 13.7 ลิตร/100 กม. ในเรื่องของการลดน้ำหนักเป็นอีกหัวข้อที่ทีมวิศวกรของเฟอร์รารี่ให้ความสำคัญ โดยน้ำหนักตัวของ 458 Italia อยู่ที่ 1,380 กก. มีอัตราส่วนของน้ำหนักต่อกำลัง 2.42 กก./CV มีการกระจายน้ำหนักไปที่เพลาท้าย 58%

สำหรับแชสซีส์ได้ใช้โลหะหลายชนิดเช่นอัลลอยที่ใช้กับอากาศยานและรวมเข้ากับเทคนิคการผลิตอันก้าวหน้า ส่วนช่วงล่างหน้าเป็นแบบปีกนกคู่และด้านหลังแบบมัลติ-ลิงค์พร้อมกับใช้อัตราทดของพวงมาลัยแบบไดเร็ก นอกจากนี้ยังมีระบบ E-Diff และ F1-Trac (ควบคุมโดย ECU) ทำให้ได้อัตราเร่งเมื่อออกจากทางโค้งเร็วขึ้นอีก 32% เมื่อเทียบกับโมเดลเดิม ซึ่งทำงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงและ ECU ยังควบคุมการทำงานของระบบเบรก ABS โดยจากความเร็ว 100-0 กม./ชม.ใช้ระยะทาง 32.5 เมตร

BMW X1 (2)

เครื่องยนต์มีออกมาให้เลือกทั้งเบนซินและดีเซล เริ่มจากรุ่น xDrive28i เป็นเครื่อง 6 สูบเรียง ขนาด 2,996 ซีซี. มีเทคโนโลยี VALVETRONIC และ double-VANOS ให้กำลัง 190 kW/258 hp ที่ 6,660 รอบต่อนาทีกับแรงบิด 310 Nm/228 lb-ft ที่ 2,600-3,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 6.8 วินาที ท็อปสปีด 205 กม./ชม.และมีออพชั่นเพิ่มท็อปสปีดขึ้นมาที่ 230 กม./ชม.

รุ่น xDrive23d เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,995 ซีซี.พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo และการจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็กชั่น ให้กำลัง 150 kW/204 hp ที่ 4,400 รอบต่อนาทีกับแรงบิด 400 Nm/295 lb-ft ที่ 2,000-2,250 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 7.3 วินาที ท็อปสปีด 205 กม./ชม.และมีออพชั่นเพิ่มท็อปสปีดขึ้นมาที่ 223 กม./ชม.

รุ่น xDrive20d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,995 ซีซี.กับเทคโนโลยีเทอร์โบ ระบบวาล์วแปรผันและการจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็กชั่น ให้กำลัง 130 kW/177 hp ที่ 4,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 350 Nm/258 lb-ft ที่ 1,750-3,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 8.4 วินาที ท็อปสปีด 205 กม./ชม.และมีออพชั่นเพิ่มท็อปสปีดขึ้นมาที่ 213 กม./ชม.

รุ่น sDrive20d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,995 ซีซี.พร้อมเทคโนโลยีเทอร์โบ ระบบวาล์วแปรผันและใช้การจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็กชั่น ให้กำลัง 130 kW/177 hp ที่ 4,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 350 Nm/258 lb-ft ที่ 1,750-3,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 8.4 วินาที ท็อปสปีด 205 กม./ชม.และมีออพชั่นเพิ่มท็อปสปีดขึ้นมาที่ 218 กม./ชม.

รุ่น xDrive18d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,995 ซีซี.พร้อมเทคโนโลยีเทอร์โบ ระบบวาล์วแปรผันและใช้การจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็กชั่น ให้กำลัง 105 kW/143 hp ที่ 4,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 320 Nm/236 lb-ft ที่ 1,750-3,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 10.1 วินาที ท็อปสปีด 195 กม./ชม.

รุ่น sDrive18d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,995 ซีซี.พร้อมเทคโนโลยีเทอร์โบ ระบบวาล์วแปรผันและใช้การจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็กชั่น ให้กำลัง 105 kW/143 hp ที่ 4,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 320 Nm/236 lb-ft ที่ 1,750-3,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 9.6 วินาที ท็อปสปีด 200 กม./ชม.


ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ถูกนำมาใช้กับรถในเซกเมนต์นี้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการกระจายกำลังไปยังล้อหน้าและหลังแบบแปรผันที่มีประสิทธิภาพสูง โดยจะต่อกับระบบ DSC (Dynamic Stability Control) และระบบจัดการเครื่องยนต์พร้อมกับเซ็นเซอร์ที่ล้อเพื่อตรวจสอบอาการลื่นของล้อแม้เพียงน้อยนิด ระบบอันชาญฉลาดจะจัดการกระจายกำลังในอัตราส่วนที่เหมาะก่อนที่ล้อจะเกิดการลื่น

BMW X1 (1)

บีเอ็มดับเบิลยูขยายตลาดของโมเดล X เข้ามาในตลาดระดับคอมแพ็คท์ โดยยังคงคุณภาพและความหรูหราสะดวกสบายอยู่ในระดับพรีเมี่ยมพร้อมกับบรรจุเทคโนโลยีทันสมัยเอาไว้แบบเดียวกับรุ่นใหญ่ ซึ่งทำให้รถในกลุ่มนี้จะถูกยกมาตรฐานให้สูงขึ้น

บอดี้แบบ 5 ประตูดูสปอร์ตแบบเดียวกับโมเดล X ในรุ่นใหญ่ เส้นสายที่ใช้ตั้งแต่ด้านหน้า, ข้างและท้ายกลมกลืนทันสมัย ขนาดของตัวรถเล็กกว่าทั้งโมเดล X6, X5 และ X3 โดยมีความยาว 4,450 มม. และระยะห่างของฐานล้ออยู่ที่ 2,760 มม. ตรงซุ้มล้อใช้เส้นขอบในทรงเหลี่ยม กระจังหน้ายังคงรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ ไฟตัดหมอกฝังลึกเข้าไปในชนหน้าและอยู่ในตำแหน่งที่สูง ไฟหน้าออกแบบให้ลดการต้านลม ช่องดักอากาศด้านล่างของกันชนมีขนาดใหญ่และที่ขอบล่างใช้สีเงิน ไฟท้าย LED อยู่ในทรงตัว L และชายล่างของกันชนท้ายใช้สีเงินแบบเดียวกับด้านหน้า ส่วนไฟหน้าเป็นแบบ Bi-xenon

ดีไซน์ของภายในให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตและให้ภาพลักษณ์ในแบบของคนรุ่นใหม่ แผงหน้าปัดออกแบบให้กลมกลืนกับแผงข้างประตูช่วยให้ภายในดูกว้างขึ้นและมาตรวัดดูเรียบๆแต่ง่ายในการอ่านข้อมูล สำหรับคอนโทรลดิสเพลย์ของระบบ iDrive จะอยู่ตรงกลางแดชบอร์ด ตำแหน่งที่นั่งของคนขับที่อยู่สูงทำให้การมองเห็นทัศนวิสัยรอบๆตัวรถชัดเจนขึ้น คอนโซลกลางและแดชบอร์ดถูกดีไซน์มาเป็นพิเศษโดยคอนโซลกลางจะแยกพื้นที่ของฝั่งคนขับและผู้โดยสาร การควบคุมระบบปรับอากาศและเครื่องเสียงได้ออกแบบมุมให้หันหน้าไปทางคนขับเพื่อให้สะดวกในการใช้งาน

เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้ 40/20/40 ปรับพนักพิงหลังได้ 31 องศาและเมื่อปรับพับลงจะเพิ่มพื้นที่บรรทุกของด้านท้ายจาก 420 ลิตรเป็น 490 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะหลังลงทั้งหมดจะมีเนื้อที่ให้ใช้งานถึง 1,350 ลิตร ส่วนพนักพิงของเบาะนั่งตรงกลางเมื่อแยกพับลงสามารถจะวางถุงกอล์ฟได้อย่างสบาย

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

เปอโยต์ 3008 Crossover (3)

ระบบช่วยเหลือในการขับขี่ไฮเทค ใช้งานง่ายซึ่งทำให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้น โดยระบบ Head Up Display ที่อยู่บนกระจกด้านหน้าคนขับจะแสดงข้อมูลของความเร็วที่ใช้ การใช้ครุสคอนโทรลทำให้คนขับไม่จำเป็นต้องละสายตาจากถนน สำหรับระบบ Distance Alert จะใช้ควบคู่กับระบบ Head Up Display และเรดาร์พิเศษที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้ารถเพื่อช่วยคนขับในการรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า ส่วนระบบ Automatic Electric Parking Brake ช่วยเพิ่มความสะดวกมากขึ้น โดยจะทำงานเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วและเริ่มกดคันเร่งระบบจะปลดเบรกมือให้โดยอัตโนมัติและเมื่อปิดสวิทช์หยุดการทำงานเครื่องยนต์ระบบจะสั่งให้เบรกมือทำงานโดยอัตโนมัติอีกครั้ง ต่อมาคือระบบ Hill Assist ซึ่งจะให้รถหยุดนิ่งบนทางลาดชันเป็นเวลา 2 วินาทีหลังจากที่คนขับปล่อยเบรกและไปกดที่คันเร่ง ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ให้แสงสีน้ำเงิน-ขาวพร้อมด้วยการปรับระดับไฟหน้าอัตโนมัติเพื่อแก้ไขการมองเห็นทางด้านหน้าในขณะเลี้ยวและระบบ WIP Sound and WIP Plug โดยเป็นระบบเครื่องเสียงประกอบด้วย MP3 เครื่องเล่น CD และจุดต่อตรงบริเวณที่วางแขนสำหรับต่อกับเครื่องเล่นดิจิตอลและสามารถรวมกับออพชั่น Wip Plug เพื่อการควบคุมและการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ดิจิตอลแบบต่างๆโดยใช้พอร์ท USB โดยระบบมีลำโพงอยู่ 6 ตัวคือ ทวิตเตอร์ 2 ตัว, ลำโพงขนาด 165 มม. (15W) จำนวน 2 ตัวและลำโพง (wide band) 165 มม. (15W) อีก 2 ตัว จอดิสเพลย์ขนาด 7 นิ้ว (ความละเอียด 480x234 พิกเซล)

เครื่องยนต์สมรรถนะสูง ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งมีออกมาให้เลือกถึง 6 เครื่อง เริ่มจากเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร HDi FAP:110 kW (150 bhp) ที่ 3,750 รอบต่อนาทีกับเกียร์แมนนวล 6 สปีดหรือจะเลือกกำลังสูงขึ้นมาที่ 120 kW (163 bhp) ใช้กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (DW10CTED4 ML6C หรือ AM6C) เครื่องยนต์มีความจุกระบอกสูบ 1,997 ซีซี. ให้แรงบิดได้ 340 Nm ที่ 2,000 รอบต่อนาที ซึ่งเปอร์โยต์ได้ออกแบบใหม่ทั้งฝาสูบ, ระบบไอดีไอเสีย, จังหวะการจุดระเบิดและแคร้งเคส สมรรถนะที่ได้มาในระดับมาจากเทอร์โบและปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงแรงดันสูงควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์

เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.6 ลิตร HDi FAP:80 kW (110 bhp) ที่ 4,000 รอบต่อนาทีกับเกียร์แมนนวล 6 สปีดหรือใช้เกียร์แมนนวลที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ 6 สปีด (DV6TED MCM หรือ MCP) เครื่องยนต์มีความจุกระบอกสูบ 1,560 ซีซี. แรงบิด 240 Nm ที่ 1,750 รอบนาที ใช้ระบบหัวฉีดไดเร็กอินเจ็กชั่นให้แรงดันสูงถึง 1,600 บาร์

ต่อมาเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร THP (Turbo High Pressure) 110 kW (150 bhp) ที่ 5,800 รอบต่อนาทีและแรงบิด 240 Nm ที่ 1,400 รอบต่อนาทีใช้กับคู่เกียร์แมนนวล 6 สปีดและอีกเครื่องคือ 1.6 ลิตร VTi Variable Valve Lift and Timing injection):88 kW (120 bhp) ที่ 6,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 160 Nm ที่ 4,250 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แมนนวล 5 สปีด เครื่องยนต์มีระบบปรับวาล์วไอดีและไอเสียแบบแปรผันรวมทั้งมีระบบยกวาล์วไอดีแบบแปรผันซึ่งรับเทคโนโลยีมาจากระบบ VALVETRONIC ของBMW Group และทุกเครื่องยนต์อยู่ในมาตรฐาน Euro 5

เปอโยต์ 3008 Crossover (2)



ดีไซน์ของตัวรถมีความทันสมัย กระจังหน้าชิ้นใหญ่พร้อมด้วยแถบสีดำตรงไฟหน้าให้ความรู้สึกแบบตัวลุย ด้านท้ายใช้เส้นสายโค้งมน ประตูท้ายแยกเปิดได้เป็นสองชิ้นทำให้ง่ายในการขนของเข้าออก ตัวรถมีความยาว 4,365 มม. ระยะห่างของฐานล้อ 2,613 มม. ระยะโอเวอร์แฮงก์หน้า/หลัง 916/836 มม. กว้าง 1,837 มม.และสูง 1,639 มม. สำหรับภายในใช้วัสดุคุณภาพสูงในทุกๆส่วน มาตรวัดใช้พื้นสีดำและตัวเลขสีขาวและแดง มีจอแสดงข้อมูลต่างๆอยู่ตรงกลางระหว่างมาตรวัด ด้านบนของคอนโซลกลางเป็นปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศและวิทยุและมีระบบ Head Up Display ให้คนขับมองเห็นข้อมูลต่างๆได้สะดวกขึ้น

ภายในห้องโดยสารกว้างขวางและสบายในขณะเดินทางไกล ผู้โดยสารด้านหลังมีพื้นที่วางขาที่กว้าง กระจกหน้ามีพื้นที่ 1.70 ตารางเมตรให้มุมมองที่กว้าง หลังคาเป็นกระจกสีเทาดำเพื่อจำกัดแสงที่จะส่องเข้ามาในห้องโดยสารมากเกินไป ส่วนแสงไฟสำหรับความสว่างตอนกลางคืนจะใช้โทนสีอุ่น เบาะนั่งให้ความนุ่มสบายและใช้ฟองน้ำที่หนา เบาะนั่งหน้าขยับเลื่อนได้ 190 มม.และปรับความสูงได้ 47 มม. ที่เก็บของมีให้ในหลายๆจุดเช่นตอนโซลกลางเก็บของได้ทั้งขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตร, โทรศัพท์มือถือหรือกล้องถ่ายรูป, ด้านใต้พวงมาลัย, แผงข้างประตูและมีจุดต่อไฟ 12V ให้อีก 3 จุด ห้องเก็บของด้านท้ายปรับใช้งานได้หลายแบบและขยายพื้นที่ได้ด้วยการพับเบาะหลัง

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เปอโยต์ 3008 Crossover

เปอโยต์ส่งครอสโอเวอร์ระดับคอมแพ็คท์ออกลุยตลาด ซึ่งได้วางตำแหน่งเอาไว้ระหว่างรถประเภท SUV, MPV และแฮทช์แบ็ก จะทำให้รองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบพร้อมด้วยการนำเทคโนโลยีทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้อีกด้วย

RUF แสดงตัวแรงต้นแบบสีเขียว






ผลงานการวิจัยจาก Siemens (Corporate Technology) ซึ่งได้ทำงานทุ่มเทอย่างหนักภายใต้งบประมาณ 19 ล้านยูโรสำหรับการพัฒนารถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและออกแบบโครงสร้างเครือข่ายของเพาเวอร์เน็ตเวิร์ค โดยมีหัวข้อหลักๆเช่น การผลิตและจ่ายพลังงาน, การจัดการพลังงาน, อุปกรณ์ที่ชาญฉลาด, ประสิทธิภาพของวงจรอิเล็กทรอนิกส์, ซอฟท์แวร์, เซ็นเซอร์, ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและการจัดเก็บพลังงาน โดยภายในขอบเขตของการวิจัยยังได้มีการพัฒนาการรวมระบบของมอเตอร์/เจนเนอเรเตอร์เข้าไว้ด้วยกัน

สำหรับทาง RUF Automobile GmbH ซึ่งเป็นสำนักแต่งชื่อดังในเยอรมนีก็มีความคิดที่จะพัฒนารถที่ใช้พลังไฟฟ้าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองบริษัทมีแนวความคิดที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดย Siemens ถือได้ว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอิเล็กทริกและ RUF ก็เป็นมืออาชีพของอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งจะดีมากที่ทั้งคู่จะทำงานร่วมกันสำหรับการพัฒนารถไฟฟ้า

ทาง Siemens ได้พัฒนาต้นกำลังให้มีความเหมาะสมสำหรับ eRUF ‘Greenster’ ดังนั้นเวอร์ชั่นเริ่มแรกของต้นแบบสำหรับนวัตกรรม eDrive จาก Siemens จะใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อนถึง 2 ตัวและได้ออกแสดงตัวแล้วไปเมื่อเร็วๆนี้ ในขณะที่รถไฟฟ้าจากค่ายอื่นๆจะใช้มอเตอร์เพียงตัวเดียว มีกำลัง 270 kW และแรงบิด 950 Nm และต้นแบบสามคันแรกจาก RUF จะเป็นครั้งแรกของโลกที่ใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ bi-directional ทำให้ใช้เวลาในการชาร์จไฟน้อยกว่า 1 ชม.ที่กระแสไฟ 400 โวลต์ ส่วนแผนการผลิตออกจำหน่ายของรุ่นนี้คาดว่าจะเป็นในราวปี 2010


Power 362 bhp / 270 KW
Torque 950 Nm / 701 ft lbs
Power to weight 0.21 bhp / kg
Top Speed 250 km/h / 155 mph
0-60 mph 4.9 s

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

แว่นตาสำหรับตอนกลางคืน





ในระหว่างขับรถตอนกลางคืนมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก โดยมีสถิติจำนวนถึง 48% ของอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นในตอนกลางคืน เนื่องมาจากเราสามารถมองเห็นในตอนกลางคืนได้ในระยะที่สั้น แต่ตอนนี้ TAG Heuer ได้แนะนำกระจก Night Vision ที่ได้ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อช่วยการมองเห็นในตอนกลางคืน

แว่นตารุ่นนี้ตั้งราคาเอาไว้ที่ 400 ยูเอสดอลลาร์ โดยแรกเริ่มได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในทีมแข่งของเปอโยต์ในรายการเลอมังส์ 24 ชม. สำหรับเฟรมของแว่นตาทำจากไททาเนี่ยมและมียางสำหรับกันลื่น นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้สามารถใส่ได้แม้ในขณะใส่หมวกกันน็อค เฟรมมีให้เลือกทั้งแบบ Wide และ Panorama ส่วนเลนส์เป็นสีเหลืองแต่ไม่สดใสนัก แต่การมองเห็นจะคมชัดและมีความสว่างมากขึ้นและเลนส์ยังป้องกันรังสี UV-A และ UV-B ด้วย

เดินทางด้วยล้อเดียว


อีกรูปของพาหนะสำหรับการเดินทางที่มีความง่ายดายอย่างมากและเป็นหนึ่งในจำนวนสามแบบของงานดีไซน์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง โดยอีกสองแบบคือ Unomoto และ Bombadier Embrio โดยใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการช่วยการทรงตัวหรือที่เรียกกันว่า SBU (self-balancing unicycle) ทำให้ง่ายในการควบคุมความสมดุลทั้งไปข้างหน้าและหลังและที่มันมีความแตกต่างไปจากไอเดียอันอื่นก์คือ มันไม่ต้องมีบันไดถีบแบบจักรยานหรือแฮนด์บังคับ แต่การควบคุมให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือหลังจะใช้การเอียงตัวและมีความเร็วให้ใช้งาน 12.8 กม./ชม.

การขับเคลื่อนใช้มอเตอร์ไฟฟ้า สามารถวิ่งไปได้เป็นระยะทาง 19.2 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งซึ่งใช้เวลาราว 1.5 ชั่วโมงและมีน้ำหนักตัว 11.2 กก.ทำให้ง่ายและสะดวกในการนำไปใช้ในที่ต่างๆ

พาราเจ็ตสกายคาร์









เป็นอีกหนึ่งในความท้าทายที่ประสบความสำเร็จและเป็นของเล่นใหม่ที่เร้าใจไม่แพ้เกมอื่นๆและมันยังเป็น carbon neutral flying car คันแรกของโลกอีกด้วย มันไม่เหมือนเครื่องจักรใดๆในโลกตรงที่มันสามารถขับไปได้เหมือนรถและก็บินได้แบบเครื่องบิน โดยเมื่ออยู่บนถนนจะมีสมรรถนะแบบเดียวกับรถสามารถลุยในทางแบบออฟโรดก็ได้และใช้เวลาในการตระเตรียมเพียงสองถึงสามนาทีก็ขึ้นบินบนฟ้าได้แล้ว ใน ‘fly mode’ ใช้ระยะทางในการเทคออฟไม่ถึง 200 ม. ผู้คิดค้นบอกว่าควบคุมง่ายและปลอดภัยกว่าเครื่องบินเสียอีก ใช้เครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ยามาฮ่ารุ่น R1 ขนาด 1,000 ซีซี. มีกำลังราว 140 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ขับเคลื่อนที่ล้อหลังโดยใช้สายพาน ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ด้วยเวลา 4.5 วินาที ท็อปสปีด 180 กม./ชม.มีระยะทำการ 400 กม. แต่เมื่ออยู่บนอากาศมีท็อปสปีด 110 กม./ชม.มีระยะทำการ 300 กม. ใช้ความสูงในระยะ 2,000-3,000 ฟุตแต่สามารถขึ้นไปได้ถึง 15,000 ฟุต

‘ไบค์-แพ็ค’ จักรยานแบบพกพา







เป็นงานดีไซน์ของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่พยายามจะลดข้อจำกัดของการเดินทางด้วยจักรยานให้สามารถติดตัวไปได้ทุกที่และให้ความสะดวกสบายโดยเฉพาะการใช้งานเมืองใหญ่ๆที่การจราจรหนาแน่น โดยจักรยานที่ว่านี้สามารถพับเก็บและสะพายได้เหมือนกระเป๋าสะพายหลังด้วยน้ำหนัก 5.5 กก.หรือจะใช้การลากจูงแบบรถเข็นก็ได้

ตัวรถดูเบสิกมากๆ แต่เป็นการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยตัวรถสามารถพับครึ่งกลางได้และตรงจุดนี้จะดึงสายหนังออกมาสองเส้นเพื่อสำหรับสะพายหลังหรืออาจดึงแกนสำหรับจับออกมาเพื่อใช้ลากก็ได้ ล้อและเฟรมจะไม่แข็งกระด้างเมื่อสะพายอยู่หลังด้วยการหุ้มพลาสติกเอาไว้

ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแรลลี่โลก




ทาง Playseat ได้กลายเป็นผู้จัดการสำหรับที่นั่งในรถแข่งของรายการ FIA World Rally Championship (WRC) ในปี 2009 และยังได้ร่วมกันทำงานกับผู้ผลิตอุปกรณ์เล่นเกมเพื่อตอบสนองคอเกมดิจิตอลด้วยชุดแข่งเวิลด์แรลลี่แบบครบเซ็ตรุ่น Logitech G25 และ ForceGT ซึ่งสนับสนุนทั้งเครื่องเล่น PS3, PS2, Xbox, Xbox360 และ Nintendo Wii และ PC

โมโตครอสในน้ำ




ของเล่นใหม่มีออกมาอีกแล้วเป็นรูปแบบที่ดูแตกต่างและเหนือความคาดหมาย โดย Foiljet รุ่น MR1 เป็นต้นแบบในอีกรูปแบบของ Personal Watercraft จากการนำเอาแนวคิดจุดเด่นที่สำคัญๆและดีที่สุดของมอเตอร์ไซค์แบบโมโตครอสและเจ็ตสกีมารวมกันพร้อมด้วยขาไฮโดรฟอยล์อีกหนึ่งคู่บวกกับการเคลื่อนที่ที่เงียบ โดยการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า

ดีไซน์ดูคล้ายๆกับพวกรถโมโตครอสแต่ในส่วนเป็นล้อจะถูกแทนที่ด้วยปีกไฮโดรฟอยล์ขนาดเล็ก มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 kW (20 hp) ติดตั้งอยู่ที่ด้านท้าย มอเตอร์ไฟฟรับพลังงานมาจากแบตเตอรี่ 48V ใช้งานได้ราว 3 ชั่วโมงและใช้เวลาในการชาร์จเพียง 10 นาที

หม้อน้ำจากวัสดุธรรมชาติ


เดนโซ่ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มการผลิตหม้อน้ำชนิดใหม่ที่ทำจากส่วนผสมของสารอินทรีย์ที่ได้จากน้ำมันของพืชชนิดหนึ่ง ผลงานชิ้นนี้มาจากการร่วมมือกันพัฒนาระหว่างเดนโซ่และ DuPont Kabushiki Kaisha วัสดุชนิดนี้คือ Zytel RS nylon ได้มาจากพืชที่ไม่ได้ใช้เป็นพืชอาหาร ในขณะที่หม้อน้ำแบบเดิมใช้วัสดุที่ทำจาก nylon 66

หม้อน้ำใหม่สำหรับโลกสีเขียวสามารถลดก๊าซ CO2 ลงได้มากกว่า 30% เมื่อเทียบกับหม้อน้ำในแบบเดิม เพราะว่าเรซินที่ได้มีพื้นฐานมาจากพืชและยังมีความต้านทานแคลเซียมคลอไรด์ได้ถึงราว 7 เท่า ซึ่งมันเป็นส่วนประกอบที่ละลายอยู่ในหิมะและทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้

เทคนิคใหม่ในท่อไอเสีย


ผลงานจาก Woco Motor Acoustic Systems ซึ่งได้จดสิทธิบัตรสำหรับตัวเก็บเสียงของท่อไอเสียที่ทำจากพลาสติก ซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัล Society of Plastic Engineers ในกลุ่มของ powertrain โดยต้นแบบของท่อไอเสียพลาสติกจะใช้เทคโนโลยีการสะท้อนคลื่นความถี่เสียงที่กว้าง

ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานและปล่อยไอเสียที่มีอุณหภูมิสูงออกมาจะทำให้ท่อไอเสียจะทำให้ท่อไอเสียมีอุณหภูมิสูงตามไปด้วยรวมทั้งยังมีปล่อยน้ำและของเหลวที่มีสภาพเป็นกรดออกมาด้วยซึ่งจะทำให้ท่อไอเสียผุกร่อนได้ง่าย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่อไอเสียจึงต้องทำจากโลหะเท่านั้น มาถึงวันนี้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ทำให้ท่อไอเสียสามารถใช้วัสดุพลาสติกได้

ประธานของ Woco Motor Acoustic Systems ได้บอกว่า “เราได้ค้นพบหนทางใหม่ในการนำวัสดุพลาสติกมาใช้กับท่อไอเสีย เป็นผลให้ระบบไอเสียมีความก้าวหน้ามากขึ้นทั้งในเรื่องของขนาด, น้ำหนักและเสียง” โดยทาง Woco ได้มีการทดสอบระบบไอเสียที่ทำจากพลาสติกกับรถจำนวนสองคัน โดยทั้งสองคันได้ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 2.8 ลิตร ซึ่งเหตุผลที่เลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซลเพราะว่าอุณหภูมิของไอเสียที่ออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 600 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุณหภูมิไอเสียของเครื่องยนต์เบนซินจะต่ำกว่านี้

ในการศึกษานี้เราจะพบว่าท่อไอเสียโดยทั่วไปมีน้ำหนักอยู่ที่ราว 16 กก.และที่เก็บเสียงมีปริมาตร 25 ลิตร ในขณะที่ท่อไอเสียต้นแบบของ Woco ใช้การผลิตแบบแฮนด์บิลด์มีน้ำหนักเพียง 12 กก.และขนาดของที่เก็บเสียง 12 ลิตร โดยภายนอกของหม้อพักไอเสียทำจากพลาสติกทั้งหมดทำให้ไม่มีปัญหาการกัดกร่อน ในการทดสอบโดยใช้เครื่องมือเพื่อเปรียบเทียบระหว่างท่อไอเสียทั้งสองแบบ พบว่าเมื่อวัดเสียงที่ภายนอกรถของคันที่ใช้ท่อไอเสียแบบพลาสติกจะมีระดับเสียงของทางฝั่งผู้โดยสารต่ำกว่าคันที่ใช้ท่อไอเสียแบบโลหะ 2 dB (A) และทางฝั่งคนขับต่ำลง 1 dB (A) และเมื่อใช้รอบเครื่องยนต์ระหว่าง 2,500-4,000 รอบต่อนาที ระดับเสียงในห้องโดยสารจะต่ำลงมากกว่า 5 dB (A) ทางทีมงานผู้ผลิตยังได้ทดสอบการใช้งานจริงบนถนนเป็นระยะทาง 2,400 กม. ซึ่งไม่พบปัญหาการละลายหรือเสื่อมจากการโดนความร้อน

ในเรื่องของอุณหภูมิสำหรับท่อไอเสียโลหะจะอยู่ที่แถวๆ 400 องศาเซลเซียส ในขณะที่ท่อไอเสียพลาสติกอยู่ที่ 110 องศาเซลเซียสและในการทดสอบบนท้องถนนเป็นระยะทาง 320 กม. จะมีอุณหภูมิเพียง 58 องศาเซลเซียส การทดสอบยังได้เพิ่มระยะทางขึ้นไปถึง 14,400 กม. ผลปรากฏว่ายังคงใช้งานได้ตามปกติไม่พบความเสียหายทั้งการรั่ว, แตกหรือละลาย

ท่อไอเสียพลาสติกใหม่นี้จะพัฒนาออกมาให้สามารถใช้งานได้ทั้งกับเครื่องยนต์ดีเซล, เบนซินและสำหรับมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมันจะให้ผลดีทั้งในเรื่องของขนาดที่เล็ก, น้ำหนักเบา, ทนทานและราคาที่ถูกลงด้วย

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

มาสด้าใช้เทคนิคพ่นสีเพื่อสิ่งแวดล้อม


มาสด้าประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบใหม่ในการพ่นสีบนตัวถังรถเรียกว่า Aqua-tech Paint System นวัตกรรมใหม่นี้จะทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ที่สูงขึ้นสำหรับการลดการแพร่ของ VOC (volatile organic compounds) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดขึ้นในขบวนการพ่นสี

สำหรับ Aqua-tech Paint System ยังคงรักษาการแพร่ของก๊าซ CO2 เหมือนกับในระบบ Three Layer Wet Paint System ที่มีใช้อยู่ในระบบการพ่นสีของมาสด้า โดยจะลดการแพร่ของ VOC ได้ราว 57% หรือราว 15 กรัมต่อตารางเมตรของบอดี้รถและในระบบใหม่นี้จะช่วยให้การพ่นสีมีคุณภาพดียิ่งขึ้น

ในการใช้ water-base paints ตามปกติมีการแพร่ของ VOC ที่ต่ำกว่าในแบบ solvent-base paints อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทำให้ water-base paints แห้งจะต้องใช้พลังงานมากเพราะว่าน้ำจะค่อยๆระเหยเมื่อผ่านกระบวนการทำให้แห้งและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากจะเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการนี้ ทางมาสด้าจึงได้คิดแก้ไขปัญหานี้ด้วยนวัตกรรมใหม่ของเทคโนโลยีการพ่นสี

เทคโนโลยี Aqua-tech จะเป็นการแก้ไขระบบปรับอากาศของช็อปพ่นสีใหม่และใช้ระบบที่ทำให้น้ำกลายเป็นไอที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อขจัดน้ำที่เป็นส่วนประกอบในสีให้หมดไป รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการพ่นสีใหม่โดยเฉพาะการเคลือบสีชั้นนอกเพื่อให้เงางาม, ทนทานและต้านทานต่อการขีดข่วนเล็กๆน้อยๆได้ดียิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคนิคเพิ่มพลังเครื่องยนต์เฟียต


การออกแบบพิเศษสำหรับการเพิ่มพละกำลังให้กับเครื่องยนต์ในช่วงรอบต่ำ โดยเป็นเทคโนโลยีของเฟียตกับเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ไดเร็กอินเจ็กชั่น เทอร์โบ-เจ็ต ซึ่งเทคโนโลยีเทอร์โบเป็นผลงานจาก BorgWarner เครื่องยนต์นมีจุดเด่นตรงที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัด จากการที่วิศวกรได้เลือกเทอร์โบของ BorgWarner เพื่อให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูง โดยมีใช้อยู่ในอัลฟ่า 159 และแลนเซีย Delta อีกด้วย ทาง BorgWarner ได้ใช้เทคโนโลยีการเชื่อมแบบพิเศษในการยึดเทอร์โบเข้ากับท่อร่วม ทำให้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีกำลัง 147 kW (197 hp) และแรงบิด 320 Nm (236 lb-ft) ที่ 1,400 รอบต่อนาที มีมาตรฐานค่าไอเสียในระดับ Euro5

ตัวแข่งมังสวิรัติ


จากกระแสในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเราจึงได้เห็นตัวแข่งที่ใช้วัสดุธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยตัวแข่ง WorldFirst F3 (F3) ซึ่งเป็นผลงานจากการออกแบบและพัฒนาโดย Warwick University ในประเทศอังกฤษ โดยเป็นโครงการทดลองทั้งในด้านการหาค่าใช้จ่าย ต้นทุนและหาข้อยุติกับความสิ้นเปลืองของรถแข่งที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิล